วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การสื่อสารข้ามวัฒนธรรม



อวัจนภาษา (Nonverbal language) คือสิ่งที่สื่อออกมาโดยไร้ถ้อยคำหรือการใช้ภาษาแต่ใช้พฤติกรรมทางร่างกายเพื่อการสื่อสาร (Human action and behavior) ยกตัวอย่างเช่น ภาษากาย (body language) ท่าทาง (gestures) การสบตา (eye contact) หรือการใช้ปริภาษา(vocalic)ซึ่งเป็นน้ำเสียงที่ใช้ประกอบถ้อยคำ แสดงอารมณ์ของผู้พูดและวัตถุภาษา (objectics) ซึ่งเป็นอวัจนภาษาอีกประเภทหนึ่งที่ใช้วัตถุเพื่อแสดงความหมาย การใช้อวัจนภาษาเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเข้าใจวัจนภาษาได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยทั้งสองสิ่งนี้มักมีบทบาทสำคัญที่เชื่อมโยงกันในการสื่อสาร (Linkage of Verbal and Nonverbal Communication ) การสื่อสารแบบอวัจนภาษามีพลังมาก เมื่อเราสื่อสารกับผู้ที่มาจากต่างวัฒนธรรมเราควรระมัดระวังสิ่งที่เราสื่อออกไปโดยไม่รู้ตัว เพราะการตีความหมายของแต่ละวัฒนธรรมต่างกัน ดังนั้นจึงอาจจะเกิดความผิดพลาดและปัญหาในการสื่อสารได้ เช่น การกางมือและยกขึ้น ในวัฒนธรรมอเมริการวมถึงวัฒนธรรมไทย หมายถึง ห้ามหรือหยุด แต่ในวัฒนธรรมกรีก หมายถึง ผลัก และในแอฟริกาตะวันตก หมายถึง การดูถูกดูแคลน
หน้าที่ของอวัจนภาษา (Functions of nonverbal communication)
1.การตอกย้ำ(Repeating)
การใช้ภาษากาย(body language) แสดงการย้ำ เช่น เมื่อเรากล่าวถึงสิ่งของที่ใหญ่มากๆ เราจะกางมือออกกว้างๆ เพื่อย้ำสิ่งที่เราพูด
2.ทำให้ภาษาสมบูรณ์(Complement)
เช่น หากเราบอกรักพ่อแม่ การกอดจะเป็นวิธีแสดงความรักที่ลึกซึ้งที่สุดและทำให้สิ่งที่เราพูดออกไปสมบูรณ์มากขึ้น
3. การใช้ท่าทางหรือสัญลักษณ์แทนคำ(Substituting)
เช่น หากเรารู้สึกรำคาญที่เพื่อนพูดเสียงดัง เราอาจกลอกตาไปหาต้นเสียงเพื่อแสดงความรู้สึกเบื่อหน่ายหรือวางนิ้วชี้ไว้ที่ริมฝีปากเพื่อแสดงว่าให้เงียบเสียง
4.ทำให้การสื่อสารมีความต่อเนื่องกัน(Regulating)
โดยใช้ การสบตา(Eye contact) พยักหน้า เพื่อแสดงความเข้าใจ ทำให้การสนทนาไหลลื่น ต่อเนื่อง
5.แสดงความขัดแย้ง(Contradicting)
บางครั้งคำพูดของคนเรากับการกระทำก็แตกต่างกัน เช่นในสถานการณ์ที่หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวกับผู้หญิงอีกคนว่า“กระเป๋าสวยจัง เข้าใจเลือกให้เข้ากันนะคะ” น้ำเสียงหวานใส เสนาะหูฟังดูดี แต่เบื้องหลังคำพูด เธอกลับใช้กริยาท่าทางมองฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่หัวจรดเท้าเยี่ยงตัวร้ายในเรื่องMeans Girl ซึ่งลักษณะการมองตั้งแต่หัวจรดเท้าเป็นการดูถูก (look down) และตรงข้ามกับคำพูดที่ฟังดูดีของเธอ

อวัจนภาษาในชีวิตประจำวัน (Nonverbal communication in daily life)
“ปากอาจพร่ำคำลวง แต่ ภาษากายไม่มีวันโกหก” คำพูดของคนสามารถปั้นแต่งให้สวยงามเท่าไหร่ก็ได้ คำพูดเปลี่ยนคนผิด ให้เป็นคนถูก ทำให้คนเลว กลายเป็นคนดี เนื่องจากมีวาทศิลป์ พลิกลิ้นเก่ง ก่อนที่จะพูดออกมามีการกลั่นกรองผ่านสมอง ตรองว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรพูด แต่ภาษากายเป็นสิ่งที่สะสมมานานจนกระทั่งหล่อหลอมเป็นบุคลิกและตัวตนของเรา แม้จะพยายามควบคุมมากเพียงใด ก็ต้องเร้นรอดออกมาจากจิตใต้สำนึกเราอยู่ดี ในปัจจุบันมีผู้สนใจศึกษาด้านการใช้อวัจนภาษามากขึ้นซึ่งสิ่งเหล่านี้อยู่ในชีวิตประจำวันของเรา อยู่ในอิริยาบถที่เรามิทันได้สังเกต เช่น การยืนสนทนา หากรู้สึกเบื่อหรือไม่สนใจ เท้าจะหันออกจากคู่สนทนาหรือการรักษาระยะห่างในการสนทนา เมื่อผู้สนทนาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกไม่สบายใจ ก็จะเว้นช่องว่างโดยการถอยหลัง(State out) โดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันสังเกตภาษากายที่สื่อออกมา
จอห์น แมคเคนและบารัค โอบามา ขึ้นเวทีดีเบตเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาซึ่ง Joe Navarro ผู้เชี่ยวชาญทางภาษากาย(body language expert) ได้ใช้ทักษะการวิเคราะห์ภาษา ท่าทาง เบื้องหลังคำพูด สิ่งที่เขาไม่พูด แต่เขาแสดงนั่นคือความจริงการเข้าไปจับมือทักทายของทั้งสองซึ่งยังรักษาระยะห่างที่มีต่อกัน สังเกตจากการที่โอบามาถอยหลังหนึ่งก้าวเพราะทั้งสองอยู่ในเวทีการประลอง ไม่อยากใช้เวลาในการถ่ายรูปร่วมกันมากจนเกินไปจิตใต้สำนึก(subconscious) ที่แสดงออกไปไม่ใกล้ชิดกันอย่างเคย ต้องปรับตัวตามสถานภาพ บทบาทที่เป็น การที่ทั้งสองไม่สบตากันมากนักแต่กลับหันหน้ามองไปทางกล้อง เป็นเพราะไม่อยากให้ดูรุนแรง การสบตาน้อยแสดงถึงความเป็นคู่แข่ง โอบามาที่มีความมั่นใจกว่า แสดงออกมาด้วยการช้อนคางขึ้นและพยายามมองหน้าแมคเคน แต่แมคเคนกลับหลีกเลี่ยงจึงทำให้ดูอ่อนแอและมีท่าทางของคนแพ้ปรากฏให้เห็นเด่นชัด วิธีการยิ้มของแมคเคนเรียกได้ว่าเป็นยิ้มที่เหมือนภาพการ์ตูนล้อเลียน ทั้งสองเปรียบเหมือนมวยคนละชั้น แมคเคนต้องรับความกดดันเยอะ อายุมาก ดูเหมือนไม่พร้อมที่จะลงสนามสู้ อย่างไรก็ตาม เขาก็มีความสามารถในการรับความกดดันของกระแสสังคมรอบข้าง ที่มีแต่เสียงเชียร์หนุ่มใหญ่วัย40 คนผิวสีที่ทั่วโลกต้องการเห็นเขาเป็นประธานาธิบดี นอกจากเรื่องทางการเมืองของโอบามาแล้ว ยังมีผู้วิเคราะห์ความรักของเขากับภรรยา มิเชลล์ โอบามาอีกด้วย ทั้งคู่แต่งงานมาแล้ว16ปี ยังไม่คลายความหวานที่มีต่อกัน การกุมมือของทั้งคู่ แสดงถึงความเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่แสดงอำนาจ(powerful relationship) ว่าอีกฝ่ายเหนือกว่า ไม่มีใครเป็นช้างเท้าหน้าหรือกุมอำนาจในความสัมพันธ์ครั้งนี้ มีการประสานมือกันอย่างแนบแน่นหมายถึงความรักที่แน่นแฟ้น ไม่ใช่คู่รักที่ธรรมดาทั่วไปแต่มีความลึกซึ้งและรักกันอย่างดูดดื่ม
(How to flirt with body language)
ลำบากจริงๆ เกิดเป็นผู้หญิงสมัยนี้ หากไม่อยากบริโภคพวกเดียวกันเอง ก็ต้องลุกขึ้นมาสลัดความเหนียมอายทิ้งและรู้จักหว่านเสน่ห์(Flirt) ให้เป็น โดยประเทศตัวแม่อย่างอเมริกา มีการเขียนHow-to ประเภทการเหวี่ยงแหจับ A man handsome โดยที่ผู้หญิงต้องปฏิวัติตัวเอง ใช้ภาษากายแบบแนบเนียนเพื่อไม่ให้ไก่ตื่น มีการสบตา (eye contact) ตามตำราที่ว่า “ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ”สบตาสามครั้ง ช้อนตาขึ้นลงพอเป็นพิธี ไม่มองจ้องมากจนเกินไป เพราะเหมือนการคุกคามและฝ่ายตรงข้ามจะแสดงท่าทางป้องกันตัวเองทันที นอกจากอเมริกา ญี่ปุ่นก็เป็นเจ้าแม่ด้านการบริหารเสน่ห์ แม้จะเป็นในสถานบันเทิงตามผับ บาร์ที่การสื่อสารด้วยคำพูดเป็นเรื่องยากลำบาก ผู้หญิงญี่ปุ่นก็ไม่กังวล พวกเธอจะทราบดีว่า ผู้ชายที่เป็นจุดศูนย์กลางความสนใจของเพื่อนๆ จะนั่งอยู่ตรงกลางกลุ่ม การที่จะเข้าไปคุยกับผู้ชายที่โดดเด่นที่สุดได้นั้น ต้องอาศัยจริตมารยาที่เรียกว่า “ตกปลาน้อย ก่อนสอยปลาใหญ่” คือซื้อใจเพื่อนๆผู้ชายรอบๆโต๊ะและทะลายกำแพงให้ได้ก่อนโดยใช้ภาษากาย สายตา ท่าทางในการส่งสัญญาณ ซึ่งหากมีคนในกลุ่มยกแก้วขึ้นและยิ้มให้ นั่นหมายความว่า เธอได้รับการเชื้อเชิญเข้ากลุ่มแล้วก็จะเข้าไปทำความรู้จัก (Make friend) กับทุกคนในกลุ่ม สนทนากันอย่างสนุกสนาน แต่จะไม่ส่งสัญญาณใดๆไปที่เป้าหมายเลย เพราะผู้ชายที่โดดเด่นย่อมมีคนเข้าหาเยอะ เขาจะมีความหยิ่งทะนง คิดว่าผู้หญิงทุกคนในโลกต้องสนใจ ภาษากายที่เธอสื่อออกไปคือไม่สนใจเขา และนั่นคือความแตกต่าง เพราะธรรมดาผู้ชายพวกนี้จะมีสาวมาล้อมหน้าล้อมหลังเสมอ ดังนั้นเขาจะเกิดความสงสัยและต้องการเอาชนะ จึงเป็นฝ่ายเข้ามาหาเธอเอง โดยที่เธอไม่ต้องลำบากอะไรนักในการสานต่อพูดคุย เธอก็แค่สัมผัสตัวเขา โดยทำเป็นจับไล่ จับเสื้อ ตีเวลาคุยมุขตลกเพื่อย่นระยะห่างและทำให้ใกล้ชิดกันเร็วขึ้น แต่พอมีคนรัก ผู้หญิงเราก็มีปัญหาได้อีกเพราะพ่อตัวดีทั้งหลายเกิดอาการเห็นอาหารในจานคนอื่นน่ากินกว่าอาหารในจานตัวเอง เหล่สาวๆเป็นว่าเล่น เมื่อสบโอกาส ผู้หญิงมักจะนำสิ่งของๆตัวเองไปไว้ในที่ๆเป็นส่วนตัวของผู้ชาย เช่นวางขวดน้ำหอมไว้ที่ต่างๆในบ้าน หรือวางของไว้ในรถเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ เหมือนจะประกาศก้องกับผู้หญิงอื่นว่า “หล่อนอย่ามายุ่งย่ามกับคนของฉันนะ!” แม้ว่าผู้หญิงอย่างเราๆมีความละเอียดอ่อน(Sensitive) ในการแสดงและสังเกตภาษากายมากกว่าผู้ชายแต่ในเรื่องนี้ผู้ชายจะสังเกตเห็นว่า ผู้หญิงคนนี้เริ่มผูกมัดเขาแล้ว เขาจะเริ่มอึดอัดกับความสัมพันธ์และเตรียมโกยอ้าวอย่างไม่คิดชีวิต แต่ก่อนจะโกย เขาจะดำเนินความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆก่อนเหมือนกับจะหาแฟนใหม่ให้ได้ก่อนนั่นแหละ ซึ่งผู้หญิงเราก็เป็นเพศที่ฉลาด จับโกหกได้เซียนยิ่งกว่าตำรวจสืบสวน โดยมองภาษากาย น้ำเสียง กิริยาท่าทางของผู้ชายมากกว่าจะมองที่คำพูดอย่างเดียว ”เรามีเรื่องที่ต้องคุยกัน” เป็นประโยคสยองที่ผู้ชายเสียวสันหลังวาบเมื่อได้ยิน ทันใดที่รู้ว่างานเข้า สมองด้านการประมวลคำโกหกจะทำงานทันที แต่สิ่งที่ทำให้จับโกหกได้คือ ลักษณะท่าทางเช่น การเม้มปาก ยิ้มมุมปากเล็กๆ แสดงถึงอาการเครียด ไม่อยากพูดถึง ไม่ยินดีที่สนทนาอีกมุมหนึ่งแสดงถึงการดูถูก หากตั้งคำถามแล้ว เขาเกิดอาการอยู่ไม่สุข พยายามจ้องตาเราเกินเหตุ (ก็ดันไปได้ยินมาว่า คนโกหกไม่กล้าจ้องตา คราวนี้มันเลยจ้องตาเป๋งเลย) เลียปาก เกาจมูก เอามือล้วงกระเป๋า ตามองไปทางอื่น แปลว่าต้องการซ่อนเร้นบางสิ่งบางอย่างและพยายามเอาตัวรอดจากสถานการณ์นั้นๆ เมื่อจบประเด็นการสนทนาและเกิดการทะเลาะกัน เมื่อฝ่ายชายถามว่า “เป็นอะไรล่ะ” ประโยคสุดคลาสสิกของผู้หญิงคือ ” เปล่า…ไม่ได้เป็นอะไร” แล้วนั่งทำหน้าหมองเหมือนของเข้า พลางคิดในใจว่า “ยังไม่รู้อีกเหรอว่าฉันคิดอะไรอยู่ ก็โกรธแกนั่นแหละ มาง้อฉันเดี๋ยวนี้!” แต่ผู้ชายไม่สนใจรายละเอียดเล็กน้อยของผู้หญิง เพราะแสดงออกไม่ชัดเจน สื่อสารกันไม่เข้าใจเหมือนอยู่คนละโลก ผู้ชายก็มีความซื่อจัดคิดว่า “เออ….ไม่เป็นอะไร ก็บอกเองว่าไม่ได้โกรธ” จากนั้นก็หายไปเฮในคืนวันศุกร์ ปาร์ตี้กับเพื่อนอย่างเมามัน ปล่อยให้ผู้หญิงจมอยู่กับอารมณ์ขุ่นมั่ว แล้วธาตุไฟแตก ระเบิดอารมณ์อย่างรุนแรงภายพลัง กลายเป็นเรื่องที่ผู้ชายงงที่สุดและคิดว่า “ทำไมทีแรกไม่พูดออกมาเลยว่ายังโกรธอยู่”
“Every single thing telling the way you are”
 อีกเรื่องหนึ่งที่ทัศนคติของผู้หญิงไม่ตรงกับผู้ชายเลยคือ ในขณะที่ผู้หญิงวาดฝันว่าตัวเองได้เป็นนางเอกConfessions of a Shopaholic สาวคลั่งช็อป(Shopaholic)ที่แต่งตัวเลิศๆอย่างเบ็คกี้ ผู้ชายก็วาดฝันว่าจะเป็นพระเอกเรื่อง the fast and the furious ที่ได้ขับรถเจ๋งๆ พร้อมสาวเซ็กซี่แนบข้าง โลกของผู้ชายและผู้หญิงแตกต่างกัน จึงทำให้พวกเขาไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ผู้ชายก็มองว่า ผู้หญิงไร้สาระ ทำไมต้องมีกระเป๋าหลายๆใบ จะซื้อรองเท้าอะไรนักหนา ทำไมเลือกของนาน เดินไปเดินมาร้านเดิมๆทำไม แต่ผู้หญิงก็บอก มันไม่เข้ากับชุดฉันย่ะ ฉันจะเลือกใหม่ หากผู้ชายบอกว่า “เสื้อแบบนี้มีแล้วไม่ใช่เหรอ เหมือนกันเลยนี่จะซื้อไปทำไม” เธอจะสวนกลับมาทันทีว่า “เหมือนอะไร ! มันคนละสีกันนะ ! “ นอกจากนี้วันที่ผู้หญิงแต่งตัวสวย วันนั้นทั้งวันเธอจะมีความสุขอย่างประหลาด เครื่องแต่งกายใหม่ ก็เหมือนรถป้ายแดงที่ผู้ชายถอยออกมาจากโชว์รูมสดๆแล้วภูมิใจจนอยากขับโชว์ทั้งวัน ผู้หญิงใส่เสื้อผ้าบอกความเป็นตัวตน บอกอารมณ์ รองเท้าสีสดสื่อความมั่นใจของเธอ โดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆบอกลักษณะของเธอเลย ผู้ชายก็สรรหาของแต่งรถมาใช้บอกตัวตน บางครั้งผู้ชายก็จอดรถ เปิดกระจกและเปิดเพลงดังๆยืนล้วงกระเป๋าอยู่ข้างรถ แสดงภาษากายในเรื่องเพศ(Sexual Body Language) และสื่อความนัยผ่านทางการกระทำว่า ” ผมรวยและมีรถเจ๋งๆ สาวๆมากับผมสิ”
ความสำคัญในการเลือกชุดทำงาน (Business dress)
ความประทับใจแรก(First impression) เป็นสิ่งที่สำคัญเพราะ เมื่อเราทำให้คนอื่นมองภาพเราเป็นแบบใด ในครั้งแรกที่พบกันเขาย่อมติดภาพนั้นไปตลอด “งานใดที่อยากได้ ให้แต่งตัวเพื่องานนั้น (dress for the work you want)”เช่น เมื่อคุณอยากเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (flight attendant)การที่มีสาวๆมารวมตัวกันเยอะ ย่อมทำให้กรรมการตาลายเป็นธรรมดา เขาอาจจะเลือกใครก็ได้ ยิ่งถ้าคุณมีความสามารถ มีบุคลิกที่ยอดเยี่ยม อัธยาศัยดี จริงใจ มีรอยยิ้มบนใบหน้าและยังแต่งตัวเหมาะกับแวดวงอาชีพก็จะทำให้ผู้ว่าจ้างจินตนาการภาพของคุณในชุดฟอร์มบริษัทได้ง่ายขึ้น ทำให้คุณได้เปรียบเพราะกรรมการจะสนใจและตัดใจเลือกคุณ เพราะคุณทำให้เขาประทับใจในการเตรียมตัวมาอย่างดี ถือเป็นการลงทุนที่ทำให้คุณได้กำไรอย่างงาม นอกจากนี้เรื่องของสี ก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ เช่นการเลือกสีเนคไทจะแสดงพลัง (power of the tie) หรือความรู้สึกของผู้ที่สวมใส่ได้เช่น เมื่อผู้ชายใส่เนคไทสีแดง หมายความว่า ต้องการให้ผู้คนสยบในอำนาจ ต้องการสยบคู่แข่ง เพราะสีสดๆจะแสดงถึงพลังอำนาจและความเชื่อมั่นในตัวเอง อย่างไรก็ตามสีฟ้าจัดเป็นสีที่มีพลังที่สุด หากวันไหนรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย ผู้ชายจะเลือกใช้สีอ่อนหรือสีโทนเย็น คนไทยก็ให้ความสำคัญกับเครื่องแต่งกายและสีของเครื่องแต่งกาย โดยผูกพันกับความเชื่อ (belief) เช่น บทกลอนสวัสดิรักษา ของสุนทรภู่
“อนึ่งภูษาผ้าทรงณรงค์รบ ให้มีครบเครื่องเสร็จทั้งเจ็ดสี วันอาทิตย์สิทธิโชคโฉลกดี เอาเครื่องสีแดงทรงเป็นมงคล เครื่องวันจันทร์นั้นควรสีนวลขาว จะยืนยาวชันษาสถาผล อังคารม่วงช่วงงามสีครามปน เป็นมงคลขัตติยาเข้าราวี เครื่องวันพุธสุดสีด้วยสีแสด กับเหลือบแปดปนประดับสลับสี วันพฤหัสจัดเครื่องเขียวเหลืองดี วันศุกร์สีเมฆหมอกออกสงคราม วันเสาร์ทรงดำจึงล้ำเลิศ แสนประเสริฐเสี้ยนศึกจะนึกขาม หนึ่งพาชีขี่ขับประดับงาม ให้ต้องตามสีสรรพ์จึงกันภัย ฯ”
การล่วงละเมิดทางเพศ(Sexual harassment)เป็นปัญหาที่ผู้หญิงในสังคมเผชิญโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน เช่น การมองจ้อง พูดจาลวนลามหรือการจับเนื้อต้องตัวโดยปัญหานี้มีมาช้านานเพราะผู้ชายถือความมีอำนาจเหนือกว่าในการเอาเปรียบผู้หญิง ในประเทศอเมริกาผู้หญิงลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิและปกป้องตนเองแต่กลับถูกฟ้องกลับด้วยหัวข้อที่ว่า “แล้วคุณคิดว่า คุณแต่งตัวดีแล้วหรือ” ดังนั้นผู้หญิงควรแต่งตัวให้ดูดี มีความเป็นมืออาชีพ เพราะส่งผลให้ภาพลักษณ์ของตัวเองทัดเทียมผู้ชายและปกป้องตนจากการถูกล่วงละเมิด นอกจากนี้ ดร.ปีเตอร์ แอนเดอร์สัน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษากายและศาสตราจารย์ด้านการสื่อสารมหาวิทยาลัยซานดิเอโก้ กล่าวว่า ในการสนทนาพูดคุยกับฝ่ายตรงข้าม ผู้หญิงก็ควรแสดงความแข็งแกร่ง แสดงบทบาทให้ชัดเจนโดยเวลายืนให้เอามือวางไว้บนสะโพก ให้นิ้วหันมาด้านหน้า ท่านี้เป็นท่าที่ต้องการพื้นที่ แสดงสัญญาณความเป็นผู้นำ ไหล่สองข้างเสมอกัน หลังตรง ยิ่งดูสูงเท่าไหร่ ยิ่งดูมีอำนาจ มองตาและยิ้มน้อยๆ ขณะที่พูดจะดูเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น